วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อยากทราบว่า เลิกใช้โน้ตบุ๊กดีไหม แล้วหันไปใช้"แท็บเล็ต"แทนดีกว่า...หรือเปล่า




อยากทราบว่า เลิกใช้โน้ตบุ๊กดีไหม แล้วหันไปใช้"แท็บเล็ต"แทนดีกว่า...หรือเปล่า


[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th]
 ช่วงนี้ หันหน้าไปทางไหนก็เจอะเจอแต่คนหยิบ iPad หรือไม่ก็แท็บเล็ต Android ขึ้นมาทำโน่นทำนี่ บ้างก็พิมพ์อะไรบางอย่างบนหน้าจอ หรือไม่ก็ใช้สไตลัสเขียนข้อความอย่างเมามัน หรืออย่างน้อยที่สุดก็หยิบมันขึ้นมาดูเฟซฯ เล่นไลน์ ท่องเว็บ หรือดูหนัง แต่กลับน้อยครั้งมากที่เดียวที่เห็นคนหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมา (โชว์พาว) เหมือนแต่ก่อน จนเกิดคำถามกับตัวเองว่า หรือถึงเวลาแล้วที่เราควรจะเลิกใช้โน้ตบุ๊ก แล้วไปซื้อแท็บเล็ตมาใช้แทนดีกว่า มีคำแนะนำบ้างไหมคะ?

เป็นคำถามที่ถูกถามเป็นประจำ คำตอบที่ยืนอยู่บนหลักการและเหตุผลก็คือ คุณ"อาจ"จะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับ"แท็บเล็ต"เพียงอย่างเดียวได้ หากความจำเป็นในการใช้งานของคุณคือ เอาไว้ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ และเช็คอินเฟซบุ๊ก ตลอดจนโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ซึ่งความจริงแล้ว แท็บเล็ต มีความสามารถเก่งกาจไม่แพ้โน้ตบุ๊ก หรือบางทีอาจจะเก่งกว่าด้วยซ้ำ อีกทั้งมันยังสะดวกพกพาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากคุณจำเป็นต้องสร้างเอกสารยาวๆ เยอะๆ หรือทำงานซีเรียส ตลอดจนการสืบค้นข้อมูล และเขียนงานต่างๆ สร้างงานนำเสนอ หรือใช้สเปรดชีททำงาน เพราะมันต้องการความคล่องตัวในการทำงาน หากความต้องการใช้งานของคุณเป็นแบบนี้ อุปกรณ์ที่เหมาะกับคุณก็คือ โน้ตบุ๊ก อีกประเด็นหนึ่งก็คือ แอพฯ บนแท็บเล็ตหลายๆ ตัวก็ไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างสมบูรณ์เท่ากับโปรแกรมบนโน้ตบุ๊กเสียทีเดียว ซึ่งหากจะสรุปให้ง่ายที่สุด แท็บเล็ต เหมาะกับการบันเทิงมากกว่าการใช้งานอย่างจริงจัง แม้มันจะทำได้ก็ตาม ในขณะที่โน้ตบุ๊กตอบโจทย์ได้ทั้งด้านบันเทิง และทำงาน ช่วงนี้ตาอยู่ที่กำลังพยายามเข้ามาเสียบตรงนี้ก็คือ ไฮบริด"โน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ต" ที่เป็นได้ทั้งแท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก

Tip: คู่มือ"โน้ตบุ๊ก"แนะนำให้ใช้แบตฯ จนหมด เพื่อยืดอายุการใช้งาน จริงอ่ะ



1

Tip: คู่มือ"โน้ตบุ๊ก"แนะนำให้ใช้แบตฯ จนหมด เพื่อยืดอายุการใช้งาน จริงอ่ะ


[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] คำถามคลาสสิกที่ยังคงมีการสอบถามเข้ามาเป็นระยะๆ วันนี้ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ก็เลยถือโอกาสหยิบมาตอบกันอีกครั้ง เพื่อความชัดเจน และกระชับยิ่งขึ้น คำถามที่ว่านี้เกิดจากความสงสัยที่ว่า คู่มือโน้ตบุ๊กแนะนำให้ใช้แบตฯ จนหมด เพื่อว่าจะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตฯ ได้ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ใช้ว่ามันเป็นความจริง หรือไม่? และเขาควรทำตาม หรือเปล่า?

คำตอบคือ สิ่งที่ระบุในคู่มือนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้วครับ!!! แบตเตอรี่ลิเธียมอิออนที่ใช้ในโน้ตบุ๊ก และแก็ดเจ็ตโมบายต่างๆ จะมีตัววัดประจุไฟฟ้าที่อยู่ภายใน (internal charge meter) ที่บอกสถานะการชาร์จ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ความแม่นยำของมันจะลดลง ผลลัพธ์คือ การรายงานประจุไฟฟ้าในแบตฯจะคลาดเคลื่อน โดยอาจจะมาก หรือน้อยกว่าความเป็นจริงก็ได้ นั่นคือ สาเหตุที่บางครั้งเราพบว่า พอใช้อุปกรณ์ไปนานๆ ทำไมบางครั้งแบตฯ หมดเร็ว ทั้งๆ ที่เพิ่งชาร์จเต็ม (ความจริงมันไม่เต็ม) 
ดังนั้น การใช้แบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊ก หรืออุปกรณ์แก็ดเจ็ตต่างๆ ให้หมดสนิทสัก 2 - 3 ครั้งต่อปี จะช่วยให้ตัววัดของแบตเตอรี่ได้เริ่มต้นปรับแต่งการวัดของมันอีกครั้ง สำหรับขั้นตอนการทำก็คือ ให้คุณชาร์จแบตฯ โน้ตบุ๊กจนเต็ม จากนั้นถอดปลั๊ก และใช้งานตามปกติจนกว่าแบตฯ จะหมด เมื่อเครื่องปิดแล้ว รีชาร์จแบตฯ ให้เต็มอีกครั้ง เป็นอันเรียบร้อย คราวนี้นอกจากคุณจะไม่ต้องงงกับแบตฯที่หมดเร็วเกินเหตุแล้ว การใช้งานแบตฯ ลักษณะนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับแบตฯ อีกด้วย

วิธีป้องกันมะเร็งเบื้องต้น ทุกคนทำได้

วิธีป้องกันมะเร็งเบื้องต้น ทุกคนทำได้
มะเร็งเป็นโรคที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว เพราะว่าเมื่อเป็นแล้วมักเกิดอาการเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อีกทั้งอาจมีอาการลุกลามจากอีกที่เป็นอยู่บริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่งได้ และส่วนใหญ่มักคิดว่ารักษาไม่หายแน่ๆ แต่จริงๆ แล้ว โรคมะเร็งบางชนิดสามารถป้องกันและรักษาให้หายขาดได้ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นใหม่ๆ ดังนั้น วันนี้ผู้เขียนจึงมานำเสนอแนวทางในการดูแลสุขภาพตนเองเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็ง

Cancer

1.ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี
          เป็นสิ่งจำเป็นมากเพื่อที่จะรู้ว่าเรามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงอยู่หรือไม่ ส่วนใหญ่คนที่เป็นมะเร็งแล้วรักษาไม่หายหรือรักษาไม่ทัน เพราะกว่าผู้ป่วยจะรู้แน่ว่าตนเป็นโรคมะเร็ง ก็มีอาการอยู่ในขั้นที่ถือว่ารุนแรงแล้ว บางคนปวดท้องมาตลอดก็คิดเอาเองว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนบ้าง โรคกระเพาะบ้าง ก็ซื้อยามากินเอาเองตามที่เข้าใจไม่ยอมไปพบแพทย์ บางคนปวดหัวก็คิดเอาเองว่าเครียดหรืออาจเป็นไข้นิดหน่อย กินยาแก้ปวดเอาเองก็ได้ แต่จริงๆ แล้วอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการเตือนเราถึงโรคที่ร้ายแรงกว่านั้นเช่นโรคมะเร็งก็ได้ ดังนั้น นอกจากการตรวจร่างกายประจำทุกปีแล้วก็ควรรีบไปพบแพทย์ทุกครั้งเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย หรือมีสิ่งผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย เช่น มีตุ่ม หรือเนื้องอกเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรือมีเลือดออกผิดปกติ จะทำให้เรายังมีเวลาที่จะรักษาอาการได้ไปอีกนาน

 2.เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง
          มีงานวิจัยที่กล่าวถึงอาหารที่มาจากผักและผลไม้หลายชนิดที่มีสารต้านมะเร็งได้ ซึ่งได้แก่
          - ผักและผลไม้ บางประเภทมีสารที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์ที่ก่อมะเร็ง สามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ อีกทั้ง สามารถยับยั้งการเกิดสารมะเร็งในร่างกายและมีสารต้านมะเร็ง ได้แก่คะน้า บร็อกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก มะเขือเทศ กระเทียม หัวหอม ขึ้นฉ่าย ผักโขม แครอท แอปเปิล ส้ม บีทรูท เห็ดหลินจือ
          - ชาเขียว ประกอบด้วย สารคาเทชินและสารเคมีอีกหลายชนิด ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระในระดับที่สูง จึงช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมถึงลดการเติบโตของมะเร็งได้
          - น้ำสะอาด ช่วยทำความสะอาดและขจัดสารพิษสิ่งสกปรกออกจากเซลล์ในร่างกาย ควบคุมสมดุลกรดด่างและยังนำสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ด้วย จึงควรดื่มน้ำสะอาดในอุณหภูมิปกติให้ได้วันละอย่างน้อย 6-8 แก้ว
          - ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่ งาดำ มีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต่อต้านมะเร็ง ลูกเดือย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกจึงลดการเกิดโรคมะเร็งได้
          การหยุดรับประทานเนื้อสัตว์สีแดงและหันมาเลือกรับประทานอาหารที่เป็นพวกธัญพืชแทน จะทำให้ร่างกายสะอาดและช่วยลดอาการของโรคมะเร็งได้ ผู้เขียนรู้จักคนหลายคนที่เป็นมะเร็งแล้วสามารถหายจากโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ได้โดยการรับประทานอาหารที่เป็นพวกธัญพืช

 3.งดสูบบุหรี่และงดดื่มสุรา
          ทั้งบุหรี่และสุรา ล้วนให้โทษต่อร่างกาย เพราะในบุหรี่มีสารนิโคตินซึ่งเป็นสารพิษที่สามารถดูดซึมเข้าทางผิวหนังของร่างกายได้ อีกทั้งมีน้ำมันดิน ที่ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดที่มีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น การสูบบุหรี่จึงเสี่ยงต่อการทำให้เป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งช่องปาก ส่วนในสุรานั้นมีสารอีทานอล ซึ่งเมื่อเข้าสู่การเผาผลาญของร่างกายที่จะกลายเป็นสารที่ก่อมะเร็ง การดื่มสุรานั้นจึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งเมื่อมีโทษมากมายเช่นนี้แล้วจึงควรงดให้ขาดให้ได้ทั้งสองอย่าง

 4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
          การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยทำให้น้ำหนักตัวคงที่และไม่อ้วน เพราะการมีน้ำหนักมากเกินไปเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งมดลูก เพราะไขมันที่เป็นพิษมันฝังอยู่ตามส่วนของร่างกาย นอกจากนี้ เมื่อเราได้ออกกำลังกายจะทำให้การเผาผลาญออกซิเจนของร่างกายสูงขึ้น ซึ่งคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยโคโอปิโอ (Kuopio) พบว่า ผู้ที่ออกกำลังเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติถึงครึ่งต่อครึ่ง

 5.ทำจิตใจให้สบาย
          เมื่อมีความทุกข์ กังวล หรือเครียด ต้องพยายามลดความเครียดและความกังวลให้ได้โดยทำความคิดและจิตใจให้ปลอดโปร่ง ปล่อยวาง มองโลกในมุมที่สดใส แม้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าความเครียดส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็งโดยตรงหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือความเครียดจากการเป็นโรคต่าง ๆ อาจยิ่งทำให้ร่างกายหรือโรคนั้นกำเริบขึ้นซึ่งอาจส่งผลให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปได้
          แม้โรคมะเร็งจะเป็นโรคร้ายที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะป้องกันหรือระงับอาการของมันไม่ได้ ผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำจิตใจให้สบาย แม้บางกรณีอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยตรงเพราะอาจมาทางกรรมพันธุ์ แต่อย่างน้อยเมื่อเป็นแล้วเราจะสู้กับมันให้ถึงที่สุด และสามารถฝ่าฟันเอาชนะโรคนี้ให้ได้ในที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน

ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์

8 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ด้วย"กระป๋องเบียร์"

8 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ด้วย"กระป๋องเบียร์"
          สำหรับคุณผู้อ่านที่รู้สึกว่า สัญญาณ Wi-Fi ของเราท์เตอร์ที่บ้านไม่แรงพอ ทดลองทำตาม 8 ขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้ดู บางทีอาจช่วยให้สํญญาณ Wi-Fi แรงขึ้นจาก 2 แท่งเป็น 4 - 5 แท่งเลยก็ได้ ที่สำคัญมันใช้แค่กระป๋องเบียร์ หรือกระป๋องเครื่องดืมน้ำอัดลมทั่วไปกับเครื่องไม้เครื่องมือไม่กี่ชิ้นเท่า นั้น นับเป็นไอเดียที่ฉลาดมากทีเดียว แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ว่าแล้วไปติดตามรายละเอียดการทำกันเลยดีกว่าครับ

          1. ขั้นตอนแรกให้คุณเตรียมอุปกรณ์ และต้องใช้ ซึ่งประกอบด้วย กระป๋องน้ำอัดลมที่ทำจากอะลูมิเนียม กรรไกร คัทเตอร์คมๆ และดินน้ำมันกาว (Blu tack) ดังรูป

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-1

         2. ทำความสะอาดกระป๋องด้วยน้ำสะอาดจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ภายใน

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-2

         3. ดึงวงแหวนที่ปากกระป๋องทิ้งไป

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-3

         4. ใช้คัทเตอร์ตัดก้นกระป๋องออกไปดังรูป

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-4

         5. หลังจากนั้นนำคัทเตอร์มาตัดอีกด้านหนึ่งของกระป๋อง (ด้านที่ดึงวงแหวนออกไป) แต่ต้องตัดไม่ครบวงรอบ โดยเหลือช่วงที่ไม่ตัดให้ขาดออกใกล้ๆ กับช่องที่ใช้ปากดื่ม ข้อสังเกตคือ ระยะที่ตัดพยายามให้อยู่ใกล้ขอบกระป๋องมากที่สุดดังรูป

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-5

         6. นำกรรไกรมาตัดข้างกระป๋องเป็นเส้นตรง โดยตำแหน่งที่ตัดจะอยู่ตรงข้ามกับด้านที่ติดขอบกระป๋อง

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-6

         7. ค่อยๆ ใช้มือกางกระป๋องที่ตัดให้กว้างออกมาคล้ายๆ กับจานเรดาร์รับสัญญาณ

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-7

         8. ติดดินน้ำมันกาวที่ด้านล่างองกระป๋อง แล้วนำกระป๋องไปสวมลงบนเสาอากาศของเราทเตอร์ผ่านทางช่องที่ใช้ปากดื่ม โดยดินน้ำมันกาวจะยึดปากกระป๋องเข้ากับด้านบนของเราท์เตอร์ จากนั้นจัดตำแหน่งให้เหมือนในรูปข้างล่างนี้

Wi-Fi-Booster-made-by-Beer-can-or-Coke-can-8

          หลังจากทำเสร็จแล้ว ทดลองเปิดเราท์เตอร์ให้ทำงาน แล้วสังเกตแท่งสัญญาณที่แสดงบนทาสก์บาร์ของ Windows บนโน้ตบุ๊คของคุณ โดยพยายามหันด้านทีสะท้อนสัญญาณของเสามาให้ตรงกับโน้ตบุ๊ค ลองดูว่า แท่งสัญญาณจะเพิ่มขั้นหรือไม่? ขอให้คุณผู้อ่านของเว็บไซต์ arip ที่่ลองทำตาม สามารถเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ได้แรงขึ้นดังที่ใจต้องการ โดยทั่วกันนะครับ

  

ที่มา : arip.co.th

FAQ คืออะไร

FAQ คืออะไร

       FAQ ย่อมาจาก Frequently Asked Questions ซึ่งหมายถึงคำถามที่พบได้บ่อย หรือคำถามยอดฮิตนั่นเอง โดยมากนิยมเรียกกันว่า "แฟค" หรือเรียกตามตัวย่อว่า "เอฟเอคิว"

       FAQ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากกลุ่มสนทนาทางอินเทอร์เน็ต "ยูสเน็ต" (UseNet) เป็นการรวบรวมกลุ่มคำถามและคำตอบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเดียวกันเอาไว้ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการโพสต์คำตอบของคำถามพื้นฐานเดิมๆ ทั้งนี้ การโพสต์คำถามซ้ำหัวข้อที่มีอยู่ใน FAQ แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องไม่สุภาพในวัฒนธรรมยูสเน็ต เพราะแสดงให้เห็นว่าผู้ถามไม่ได้อ่านให้ดีก่อนที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

       เนื้อหาที่ประกอบด้วยคำถามและคำตอบมักถูกเรียกว่า FAQ ไม่ว่าจะเป็นคำถามที่ถามกันบ่อยๆ จริงหรือไม่ และปัจจุบันแนวคิดนี้ก็แพร่หลายออกจากอินเทอร์เน็ต ทำให้มีการระบุถึง FAQ ในเอกสารใบปลิวต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตเลย

       บนอินเทอร์เน็ตมี FAQ ในหลากหลายหัวข้อ และเว็บไซต์จำนวนมากก็ได้รวบรวมไว้ให้สามารถค้นหาได้ง่าย เช่น เว็บไซต์ของสมาคมอินเทอร์เน็ต FAQ

คิดเลข คำนวณสูตรผ่าน Google

คิดเลข คำนวณสูตรผ่าน Google

          หากเราต้องการคำนวณตัวเลขแบบต่าง ๆ เช่น บวก ลบ คูณ หาร ไปจนถึงการถอดสแควร์รูท เว็บไซต์ Google สามารถช่วยเราคำนวณได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องไปหาเครื่องคิดเลขให้วุ่นวาย โดยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการคำนวณมีดังต่อไปนี้

เครื่องหมายความหมายตัวอย่าง
+บวก5+8
-ลบ55-21
*คูณ21*9
/หาร10/5
^ยกกำลัง5^9
% ofเปอร์เซ็นต์ของ20% of 130
sqrtสแควร์รูทsqrt(64)
logลอการิทึมฐาน 10log(1,000)

วิธีคิดเลข คำนวณสูตรผ่าน Google
          1. เปิดหน้าเว็บไซต์ www.google.co.th
          2. พิมพ์ (502+412)*5 แล้วกดปุ่ม ค้นหาด้วย Google

1

          3. จากนั้นเว็บก็จะแสดงผลลัพธ์ที่คำนวณออกมา

2

ตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลกก่อนเดินทางใน Google

ตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลกก่อนเดินทางใน Google

          เราสามารถตรวจดูสภาพอากาศทั่วโลกจากเว็บไซต์ Google ได้ เพียงพิมพ์คำว่า weather ตามด้วย ชื่อเมืองที่ต้องการ เราก็สามารถเตรียมพร้อมก่อนแพ็คกระเป๋าเดินทางได้อย่างมั่นใจ ในตัวอย่างต่อไปนี้หากเราต้องการทราบสภาพอากาศของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็ให้พิมพ์คำว่า weather london ในช่อง Search ของ Google ดังนี้

วิธีตรวจสอบสภาพอากาศทั่วโลกก่อนเดินทาง
          1. เปิดหน้าต่างเว็บไซต์ www.google.co.th
          2. พิมพ์ weather london แล้วกดปุ่ม ค้นหาด้วย Google

1

          3. จากนั้นเราก็จะทราบสภาพอากาศในวันต่าง ๆ ของกรุงลอนดอนได้ทันที

2

ใช้ Google ค้นหารูปภาพ และเซฟภาพเก็บไว้

ใช้ Google ค้นหารูปภาพ และเซฟภาพเก็บไว้

          Google เป็นเว็บไซต์สำหรับค้นหาข้อมูลที่ทั่วโลกนิยมใช้กันมากที่สุด และหนึ่งในการค้นหาผ่าน Google ซึ่งเป็นที่นิยมมากก็คือ การค้นหารูปภาพ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

วิธีค้นหารูปภาพผ่านเว็บ Google
          1. เข้าไปที่เว็บไซต์ www.google.co.th
          2. คลิกที่ รูปภาพ

1

          3. พิมพ์ข้อความที่ต้องการค้นหา
          4. คลิกปุ่ม ค้นหาภาพ

2

          5. รูปภาพที่เกี่ยวข้องจะแสดงขึ้นมา
          6. คลิกเลือกรูปภาพที่ต้องการ

3

          7. คลิก ภาพขนาดเต็ม

4

          8. รูปภาพนั้นก็จะขยายขึ้น และเราสามารถเซฟภาพได้ตามต้องการ

5

วิธีการเซฟรูปภาพบนเว็บมาไว้ที่เครื่องของเรา
          1. คลิกขวา ที่รูปภาพ
          2. เลือก Save Picture As...

6

          3. เลือกที่จัดเก็บรูปภาพ หลังจากนั้นตั้งชื่อให้กับไฟล์รูปภาพ
          4. คลิกปุ่ม Save เพียงเท่านี้ก็จะได้รูปภาพมาเก็บไว้ที่เครื่องของเราแล้ว

7

Tip การใช้งาน Google


Tips การใช้งาน Google

google

          Google (กูเกิล) เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏในเสิร์ชเอนจินของ Google อีเมล แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านสำนักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา Google สำนักงานใหญ่ที่รู้จักในชื่อกูเกิลเพล็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพนักงาน 16,805 คน (31 ธันวาคม 2550) โดย Google เป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์ (ข้อมูล 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550)
          Google ก่อตั้งโดย แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อนที่ เมืองเมนโลพาร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก เมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เพิ่มมูลค่าของบริษัท 1.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหลังจากนั้นทางกูเกิลได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นรวมเข้ามา กูเกิลได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาโดยนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัทคือ Don't be evil อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการละเมิดข้อมูลส่วนตัว การละเมิดลิขสิทธิ์ และการเซ็นเซอร์ในหลายส่วน



ตำนานวันวาเลนไทม์


ต้นกำเนิด "วันวาเลนไทน์"




อีกไม่กี่วันนับจากวันที่เขียนบทความนี้ ก็จะใกล้จะถึงวันวาเลนไทน์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เหมือนกับทุกๆปีที่ผ่านมา ในวันวาเลนไทน์นี้หลายคนให้ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "วันแห่งความรัก" ซึ่งวันดังกล่าวผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราหลายท่านได้ให้ความเป็นห่วงถึงค่านิยมของวันรุ่นบางคน ที่มักจะมีค่านิยมกับวันวาเลนไทน์ไปในทางที่ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เช่น ใช้เป็นวันเปิดบริสุทธิ์บ้าง วันแห่งการมีเซ็กส์บ้าง ดังที่ปรากฎเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และทีวีรายวัน ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาหลายประการ
ดูจากผลการสำรวจล่าสุดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2549 ในเด็กนักเรียนระดับปวช.ใน 20 จังหวัด พบเยาวชนชายร้อยละ 36 และหญิงร้อยละ 28 มีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเพียง 15 ปี และใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ 35 เท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำมาก ทำให้วัยรุ่นไทยติดเชื้อเอดส์แล้วกว่า 90,000 คน และมีแนวโน้มจะติดมากขึ้น นอกจากนี้วัยรุ่นอายุ 10-24 ปี ยังมีอัตราติดเชื้อกามโรคสูงขึ้นต่อเนื่องทั้งชายและหญิง จากร้อยละ 23 ใน พ.ศ.2544 เป็นร้อยละ 43 ในปี 2549 จากผู้ป่วยทั้งหมดที่มี 9,735 คน โรคที่พบมากที่สุด คือ โรคหนองใน พบได้เกือบ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยทั้งหมด" 
ดูตัวเลขสถิติข้างต้นแล้ว คงทำให้หลายคนมีความเป็นห่วง อย่างไรก็ดี อยากจะให้ท่านผู้อ่านทั้งที่เป็นวัยรุ่น และวัยไม่รุ่นได้ลองมาอ่านบทความดังต่อไปนี้ โดยผู้เขียนหวังว่าอาจจะเปลี่ยนค่านิยมของวัยรุ่นบางคนที่กำลังจะมีค่านิยมที่ผิดเพี้ยนไปดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ได้ทราบความเป็นมา หรือตำนานของวันวาเลนไทน์
ความจริงวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ที่สังคมไทยบางส่วนให้เกียรติยกย่องว่าเป็นวันแห่งความรักนั้น ถือกำเนิดมาไม่ใช่เพื่อให้เด็กสาวต้องเสียพรหมจรรย์ เหมือนกับที่สังคมไทยบางส่วน (อาจจะมากขึ้นด้วย)รับรู้หรือเข้าใจกัน แต่เป็นวันเมตตาและความรักที่บริสุทธิ์ ปราศจากมัวหมองหรือการฉวยโอกาสทั้งสิ้น
มีตำนานเล่าขานความเป็นมาอยู่ 2 เรื่อง หนึ่งคือเรื่องของ วาเลนตินัส และนักบุญวาเลนไทน์ ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ต้องจบชีวิตด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือประมาณ 1,728 ปีล่วงมาแล้ว
วาเลนตินัส เป็นผู้นำคริสตชนคนหนึ่งที่มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ทุกๆวันจะนำอาหารและของใช้จำเป็นไปวางไว้หน้าประตูบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นได้รู้ทั้งนี้ในสมัยนั้น การนับถือศาสนาคริสต์เป็นเรื่องต้องห้าม ใครขืนนับถือจะถูกจับติดคุก ต่อมาวาเลนตินัสก็ถูกจับติดคุกเพราะความเป็นคริสต์ ระหว่างอยู่ในคุกได้พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุมคุก เขาอธิษฐานที่เปี่ยมไปด้วยความรักและปรารถนาดีให้สาวคนรักจนตาหายบอด ทำให้ครอบครัวผู้คุมเกิดศรัทธาหันมานับถือคริสต์ จักรพรรดิโรมัน ที่ชื่อคลอดิอุสที่ 2 รู้เข้าโกรธมาก สั่งลงโทษประหาร ก่อนถูกประหารชีวิต วาเลนตินัสเขียนจดหมายถึงคนรัก 1 ฉบับ ลงท้ายจดหมายว่า จากวาเลนตินัสของเธอ
วันที่ถูกประหารคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 คนทั่วไปในยุโรปและอเมริกาประทับใจในความรักของเขา จึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันแห่งความรักวาเลนไทน์


 
ส่วนอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า "วาเลนไทน์" มาจากชื่อของนักบุญ St. Valentine ในสมัยกษัตริย์คลอดิอุส ที่ 2 แห่งกรุงโรม St. Valentine เป็นบาทหลวงอยู่ที่โบสถ์ใกล้ๆ กรุงโรม สมัยนั้นกษัตริย์คลอดิอุส ที่ 2 ออกกฎห้ามมีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะทรงต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหารเพื่อทำศึกสงคราม สร้างกรุงโรมให้เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง หากผู้ชายที่มีครอบครัวไปเป็นทหารจะมีห่วงและมีอารมณ์อ่อนไหวเกินกว่าจะเป็นนายทหารที่ดี ถ้าหากไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสนใจการรบมากขึ้น
บาทหลวงวาเลนไทน์รู้สึกเห็นอกเห็นใจหนุ่มสาวที่มีความรัก จึงแอบจัดพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานหลายคู่อย่างลับๆ โดยภายในงานจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และบาทหลวง พวกเขาต้องกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ขณะเดียวกัน ก็ต้องเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย
เรื่องรู้ถึงหูคลอดิอุสเข้าจนได้ ในที่สุด นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับเข้าคุกและถูกทรมานอย่างสาหัส ระหว่างที่อยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่บาทหลวงวาเลนไทน์เคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาได้โยนดอกไม้และกระดาษเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก เพื่อให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขามีความเชื่อและศรัทธาในความรักเช่นกัน
ขณะที่ถูกขังอยู่ในคุกรอการประหาร บาทหลวงวาเลนไทน์ได้รู้จักกับผู้คุมชื่อแอสทีเรียส ซึ่งมีลูกสาวตาบอด และขอให้เขาช่วยรักษา เหมือนปาฏิหาริย์เธอสามารถมองเห็นได้อีก ลูกสาวของผู้คุมจึงมักมาเยี่ยมและให้กำลังใจบาทหลวงอยู่เสมอ กระทั่งก่อนเสียชีวิตเขาได้เขียนจดหมายถึงเธอ และลงท้ายว่า "From your Valentine" นักบุญวาเลนไทน์ เสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ในคุกแห่งนั้นนั่นเอง
ต่อมา สันตะปาปา Gelasius ยกย่องให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อรำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์ โดยเฉพาะในเรื่องของ "ความรัก" และ "มิตรภาพ" 

จะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของบาทหลวงวาเลนไทน์แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นท่านมีเจตนาเช่นไร ท่านผู้อ่านคงจะมีคำตอบให้กับตนเองแล้ว การจะมีความเชื่อและค่านิยมเช่นใดนั้นทีมงานกรมสุขภาพจิตไม่ขอออกความเห็น เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล แต่การมีค่านิยมความเชื่อที่มีประโยชน์และเป็นคุณกับตนเองและสังคมนั้น ทีมงานขอให้เป็นความเชื่อบนพื้นฐานของ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเหมาะสม และความพร้อมด้านวัยและอื่นๆของหนุ่มสาวเหล่านั้น ประกอบกัน ไม่น่าจะใช่เรื่องหนึ่งเรื่องเดียว เช่นที่หลายคนเป็นห่วงคือเอาเฉพาะความพร้อมของตนเองเท่านั้น ในการจะตัดสินใจใดๆก็ตามเพื่อแสดงออกถึงค่านิยมของตนเอง เพื่อในท้ายที่สุดจะไม่เกิดปัญหาหลายๆอย่างดังที่กล่าวแล้วตอนต้น ที่หลายคนแสดงความเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ นั่นเอง


เรียบเรียงโดย ทีมงานกรมสุขภาพจิต

ไอคิว และ อีคิว


ไอคิว และ อีคิว
ศจ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
แหล่งที่มาของข้อมูล : หนังสือ “เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข”


ไอคิว คืออะไร


ไอคิว เป็นคำที่คนทั่วไปรู้จักกันดีว่าหมายถึง ระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาของคน คนไอคิวดีจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง ไอคิวนั้นมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Intelligence Quotient แล้วย่อเป็น IQ คนที่ใช้คำนี้เป็นคนแรกคือ LM Terman เป็นคนอเมริกันใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1916
ไอคิวของมนุษย์แต่ละคนจะได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรม ฉะนั้นพ่อแม่ที่มีไอคิวสูงมักมีลูกไอคิวสูงด้วย แต่บางครั้งพ่อแม่ไอคิวสูงลูกอาจมีไอคิวไม่สูงได้เช่นกัน ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูงลูกจะมีไอคิวไม่สูงเหมือนพ่อแม่ แทบไม่เคยปรากฏว่าพ่อแม่ไอคิวไม่สูงแล้วมีลูกเป็นอัจฉริยะ แต่ในทางตรงข้ามพ่อแม่ที่มีไอคิวสูง บางครั้งอาจมีลูกปัญญาอ่อนได้จากสาเหตุบางประการ
ฉะนั้น ไอคิว จึงเป็นสิ่งติดตัวลูกมาตามธรรมชาติเพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพบว่าประสบการณ์ของชีวิต การศึกษาต่างๆ เปลี่ยนแปลงระดับไอคิวได้น้อยมาก

อีคิว คืออะไร
อีคิว เป็นคำค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับไอคิวแต่อีคิวสามารถดึงดูดความสนใจคนได้มาก ทำให้คนหันมาสนใจคุณสมบัติเรื่องอีคิวของคนอย่างมาก อีคิวเป็นคำมาจากภาษาอังกฤษว่า Emotional Quotient และย่อว่า EQ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นชาวอเมริกันเช่นกันชื่อ Daniel Goleman เขียนเมื่อปี ค.ศ.1995
อีคิว นั้นหมายถึงความสามารถของคนด้านอารมณ์ จิตใจ และยังรวมถึงทักษะการเข้าสังคมด้วย ซึ่งที่จริงก็คือ วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือ ทักษะชีวิต นั่นเอง แต่คนทั่วไปแล้ว จะไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่ซาบซึ้งนักว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์นั้นหมายถึงอะไร จึงไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก จนกระทั่งมีคำว่า อีคิว เกิดขึ้น จึงเป็นคำที่ติดตลาดเหมือนคำว่า ไอคิว คนจึงหันมาสนใจและให้ความสำคัญขึ้นอย่างมากซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว
อีคิว หมายถึง ความสามารถด้านต่างๆ ทางจิตใจ อารมณ์ และสังคมหลายด้าน คนที่มีอีคิวสูงจะมีคุณสมบัติทั่วๆ ไป ดังนี้
     - มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
     - มีการตัดสินใจที่ดี
     - ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
     - มีความอดกลั้น
     - ไม่หุนหันพลันแล่น
     - ทนความผิดหวังได้
     - เข้าใจจิตใจของผู้อื่น
     - เข้าใจสถานการณ์ทางสังคม
     - ไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ง่าย
     - สามารถสู้ปัญหาชีวิตได้
     - ไม่ปล่อยให้ความเครียดท่วมทับความคิดไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก
เรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับอีคิวและไอคิว คือ
อีคิว เป็นเรื่องที่สอนให้เกิดขึ้นได้ สามารถฝึกฝนให้ลูกของเรามีอีคิวที่ดีขึ้นสูงขึ้น ในขณะที่เราไม่สามารถทำให้ลูกมีไอคิวสูงขึ้น
     - คนที่มีอีคิวดีมักจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต ในขณะที่คนมีไอคิวดีอาจมีปัญหาชีวิตมากมายได้
     - คนที่มีอีคิวดี มักจะประสบความสำเร็จสูง ในขณะที่คนที่มีไอคิวดีก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนนั้นจะประสบความสำร็จ มีความสุข มีชื่อเสียงเสมอไป
     - คนที่มีไอคิวดี มักประสบผลสำเร็จดีมากในการเรียนหนังสือ หรือทำงานด้านวิชาการ แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการ คนไอคิวสูงอาจไม่ประสบผลสำเร็จ เช่น เรื่องชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว หรือชีวิตในสังคม
ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่าการวัดระดับไอคิวของคนที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้นวัดความสามารถของคนเพียงไม่กี่อย่าง การวัดไอคิวจะวัดความสามารถด้านภาษา และการคิดคำนวณเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่จริงแล้วความสามารถของคนนั้นมีมากมายหลายด้าน เช่น ความสามารถด้านต่อไปนี้
     - ดนตรี
     - กีฬา-การเคลื่อนไหว
     - ศิลปะ
     - ภาษา
     - สังคม
     - กาคิดคำนวณ
     - เครื่องยนต์กลไก
     - ตรรกะ
     - การเข้าใจผู้อื่น
     - อื่นๆ
คนที่มีความสามารถเด่นๆ เฉพาะทางที่รู้จักกันดีในสังคมโลก เช่น 
     -Magic Johnson เป็นนักบาสที่เก่งมาก
     -Mozart เป็นนักดนตรีระดับโลก
     -Martin Luther King Jr. เป็นผู้นำที่มีความสามารถมาก
     -Sigmund Freud สามารถเข้าใจเรื่องจิตใจคนอย่างดีเยี่ยม
ฉะนั้นจึงควรส่งเสริมลูกให้พัฒนาความสามารถเฉพาะตัวของเขาให้เต็มที่ถ้ามี ผู้ใหญ่ไม่ควรไปขัดขวางเขาแต่ผู้ใหญ่ควรช่วยเขา

องค์ประกอบของอีคิว
ทักษะทางอารมณ์ หรือ อีคิวของคนอาจจัดได้เป็นเรื่องใหญ่ๆ 5 เรื่อง คือ
     1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง
     2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง
     3. สามารถทำให้ตัวเองมีพลังใจ
     4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
     5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น

1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง
คนที่จะมีทักษะชีวิตที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติข้อนี้ คือเป็นที่รู้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร หรือสามารถติดตามความรู้สึกของตัวเองได้ใน ขณะที่อารมณ์กำลังบังเกิดขึ้นในตัวเรา เช่น รู้สึกว่าเรากำลังเริ่มรู้สึกโกรธ หรือเริ่มรู้สึกไม่พอใจแล้ว ฉะนั้นเราจึงต้องมีการสังเกตตัวเราเองอยู่เสมอ การรู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรจะทำให้คนๆ นั้นควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำอะไรที่มีผลร้ายแรงดังที่เราเคยได้ยินเสมอๆ ว่า “เขาฆ่าคนตายเพราะเกิดบันดาลโทสะ”
การรู้ว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์แบบใดนอกจากจะทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ยังทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากอารมณ์นั้นได้เร็วขึ้น เพราะทำให้เรารู้จักไปหาทางระบายอารมณ์นั้นออกไปอย่างเหมาะสมถูกต้อง
คนที่ไม่รู้จักหรือไม่รู้สึกถึงอารมณ์ตัวเองมากๆ จะไม่สามารถแสดงออกซึ่งอารมณ์ อาจกลายเป็นคนเฉยเมย เป็นคนไม่สนุก ไม่รู้สึกขบขันในเรื่องควรขบขันคือไม่มีอารมณ์ขัน ซึ่งจะกลายเป็นคนน่าเบื่อสำหรับผู้อื่นได้ เพราะเป็นคนจืดชืดไร้สีสัน
วิธีสอนให้ลูกรู้อารมณ์ตัวเองคือ พ่อแม่ต้องคอยสังเกตอารมณ์ลูกและพูดคุยถามถึงอารมณ์ของลูกที่เปลี่ยนไป เช่น พ่อแม่ อาจถามว่า “วันนี้ดูลูกอารมณ์ไม่ดี หนูมีอะไรไม่สบายใจหรือ?” และพ่อแม่เองจะต้องรู้และแสดงอารมณ์ของตัวเองให้เหมาะสมด้วย เช่น พูดว่า “วันนี้แม่รู้สึกหงุดหงิดไปหน่อยนะลูก”

2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง
ทุกคนเมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นแล้วต้อง รู้วิธีที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ อย่างเหมาะสม เช่น เกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์ไม่พอใจอะไรใครจะต้องหาทางออก ไม่ใช่เก็บกดสะสมอารมณ์เหล่านี้ไว้มากๆ ซึ่งจะเกิดอาการทนไม่ไหวแล้วถึงจุดหนึ่งจะระเบิดอารมณ์ออกมารุนแรง โดยทำร้ายคนอื่นหรือทำร้ายตนเอง เช่น ฆ่าตัวตาย
วิธีบริหารอารมณ์หรือวิธีจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือ
     - พูดระบาย ให้คนที่พูดด้วยได้รับฟัง ซึ่งคนที่รับฟังมักจะช่วยปลอบใจได้ไม่มาก็น้อย หรือเขาอาจแสดงความเห็นใจด้วย
     - ทำความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง โดยคิดไตร่ตรองว่าคนที่ทำให้เราเกิดอารมณ์นี่เขาเป็นอย่างไร มีเหตุผลอะไร มีเจตนาร้ายหรือไม่ หรือเขามีปัญหาอะไร เป็นต้น ถ้าเราสามารถเข้าใจเขาได้ เราอาจเกิดความเห็นใจเขา หรือให้อภัยเขา ซึ่งจะลดลดอารมณ์ของเราลงได้
     - หาวิธีผ่อนคลายให้ตัวเอง เช่น อาจไปเล่นกีฬา ร้องเพลง ฟังเพลง เล่นดนตรี เป็นการคลายเครียด
     - วิธีอื่นๆ แต่ละคนอาจมีวิธีทำแตกต่างไปบ้าง เช่น บางคนอาจไปเดินเล่น ไปซื้อของ ไปทำงานอดิเรกที่ตัวเองชอบ เป็นต้น
ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องหัดจัดการกับอารมณ์ของตนเองอยู่แล้ว เพราะทุกวันเราจะเกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้น เช่น อารมณ์เบื่อ เศร้า เครียด หงุดหงิด รำคาญ เซ็ง โดยทั่วไปควรจะหากิจกรรมทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว ไปคุยกับเพื่อน และอื่นๆ อีกมาก
วิธีช่วยลูกมีทักษะที่ดี พ่อแม่สามารถทำเป็นตัวอย่าง หรือแนะนำให้ลูกมีงานอดิเรกทำ แนะนำให้ลูกเป็นคนชอบอ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน และที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือถ้าเล่นดนตรีได้จะดีมาก ดนตรีเป็นเพื่อนที่ดีมากของมนุษย์ ถ้ามีโอกาสและลูกชอบ พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกเลือกเรียนดนตรีอย่างหนึ่ง อย่างที่สองคือ การเล่นกีฬา เด็กควรเลือกกีฬาสักอย่างที่ชอบและสามารถเล่นไปได้ตลอดชีวิต เพราะนอกจากจะคลายเครียดยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคต่าง ๆ ได้มาก จนมีคำพูดที่ว่า “กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ”

3. สามารถทำให้ตนเองมีพลัง
คือเป็นคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือแรงใจให้อยากทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต ไม่เป็นคนย่อท้อหมดเรี่ยวแรงง่ายๆ หรือยอมแพ้โดยง่ายดาย สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้มาจากหลายๆ องค์ประกอบ เช่น
     - พ่อแม่ปลูกฝังมาให้แต่เด็ก เช่น พ่อแม่ชื่นชมในความสำเร็จของลูก ลูกก็จะกลายเป็นคนอยากมีความสำเร็จ หรือพ่อแม่คอยให้กำลังใจและคอยสนับสนุนเวลาลูกทำอะไรๆ
     - การมีทัศนคติที่ดี เช่น พ่อแม่พูดว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” หรือมีทัศนคติว่าคนนั้นต้องมีความพากเพียรทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครได้อะไรมาอย่างง่ายๆ
     - วัฒนธรรม หลายวัฒนธรรมสอนเด็กให้เป็นคนขยัน อดทน เช่น วัฒนธรรมจีน
     - อารมณ์ คนที่มีอารมณ์ดีจึงจะมีจิตใจอยากทำสิ่งต่างๆ ถ้าเป็นคนมีปัญหาทางจิตใจ มีความขัดแย้งในชีวิตและครอบครัวจะมักไม่มีกำลังใจในการทำงาน
     - ความหวัง คนมีพลังใจทำอะไรต่อๆ ไปได้ต้องเป็นคนที่มีความหวังเป็นตัวหล่อเลี้ยงจิตใจให้อยากทำต่อไป 
     - มองโลกในแง่ดี คนมองโลกในแง่ดีจะสามารถมองหาจุดดีๆ จากทุกๆ อย่างรอบตัวได้ คนนั้นก็จะสามารถมีแรงจูงใจในการทำอะไรต่อไป ตัวอย่างที่เคยได้ยิน เช่น
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทะเลาะกันบ่อยมาก แต่เวลาไม่ทะเลาะกันเพื่อนๆ จะเห็นว่าเขามีความสุขดี แม้ว่าเวลาทะเลาะกันฝ่ายภรรยาจะค่อนข้างกร้าวร้าวและจะชอบเอาจานชามขว้างใส่สามี วันหนึ่งเพื่อนสามีจึงถามสามีว่าเห็นทะเลาะกันบ่อยๆ เหตุใดจึงยังมีความสุขได้ สามีจึงตอบเพื่อนว่ามีความสุขได้ เพราะเวลาภรรยาขว้างจานชามใส่ตน ถ้าตนหลบทันตนก็มีความสุข ส่วนถ้าตนหลบไม่ทันแล้วโดนขว้างภรรยาตนก็มีความสุข

4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
ความสามารถนี้เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับจิตใจผู้อื่นจะขาดไม่ได้เลย เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ แต่ที่จริงแล้วทุกๆ คน เป็นคนที่คนอื่นนิยมชมชอบ เป็นคนที่เพศตรงข้ามชอบ ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นคนที่มีเสน่ห์ และสามารถเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี
ความสามารถนี้ หมายถึง เราสามารถเข้าใจได้หรือรู้ได้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งหมายถึง ความเห็นใจคนอื่น หรือความสามรถที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง การที่คนเราจะสามารถเข้าใจจิตใจผู้อื่นได้เขาจะต้องเข้าใจตัวเขาเองก่อน เขาต้องรู้จักตัวเอง และมีความรู้สึกของตัวเองเสียก่อนว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร จึงจะสามารถ อ่านความรู้สึก ของผู้อื่นได้
การที่จะอ่านความรู้สึกคนอื่นได้ดี จะต้องเป็นคนที่อ่านภาษาท่าทางได้ดี เพราะคนส่วนใหญ่แล้วจะแสดงอารมณ์เป็นภาษาท่าทางมากกว่าการแสดงอารมณ์เป็นคำพูด เช่น คนเวลาโกรธ มักจะแสดงท่าทางโกรธแบบต่างๆ เช่น หน้างอ หน้าบึ้งตึง มีกริยากระแทกกระทั้น เกินกระแทกเท้าโครมๆ ปิดประตูปึงปัง เป็นต้น แต่มีน้อยคนที่เวลาโกรธจะใช้คำพูดแสดงออกมาตรงๆว่า “ฉันกำลังรู้สึกโกรธคุณมากเลย คุณทำอย่านี้ได้อย่างไร”
การอ่านภาษาท่าทางทำได้โดยการสังเกตการแสดงออกของ
     - น้ำเสียง เช่น เสียงดุ เสียงหวาน เสียงกัดฟัดพูด
     - สีหน้า เช่น สีหน้ายิ้มแย้ม บูดบึ้ง เฉยเมย เคร่งเครียด เหนื่อยหน่าย เศร้า
     - แววตา เช่น แจ่มใส เป็นประกาย เคียดแค้น หม่นหมอง อมทุกข์ โศก
     - กริยาต่างๆ เช่น ท่านั่ง เบือนหน้าหนี นั่งห่างๆ นั่งเข้ามาใกล้ชิดเกินไป นั่งแบบผ่อนคลาย นั่งกระสับกระส่าย

5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
เป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญอักเช่นกัน เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี แต่ไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์นั้นยั่งยืนยาวนานได้ คือจะต้อง รู้จักหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ ที่มีอยู่ให้มีอยู่ต่อไป ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถในการบริหารจัดการกับความรู้สึกของผู้อื่น โดยทำให้คนอื่นที่อยู่ใกล้เราแล้วเขาเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวเขาเอง และเขาเกิดความรู้สึกที่ดีกับเราด้วย เช่น เราสามารถทำให้เขารู้สึกว่าเรา
     - เห็นเขาสำคัญ
     - ให้เกียรติเขา
     - ยกย่องเขา
     - เข้าใจเขา
     - เห็นเขามีคุณค่า
     - ช่วยเหลือเขา
     - เป็นมิตรกับเขา
     - หวังดีต่อเขา
     - รักเขา
ความสามรถในการรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นยังขึ้นกับว่า เรานั้นสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของเราเองได้ดีแค่ไหน ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกไม่เข้าใจเรา ไม่รู้จักเรา เข้าไม่ถึงเรา ทำให้เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร วางใจได้แค่ไหน จริงใจเพียงใด เป็นต้น
ท้ายที่สุดนี้ ท่านผู้ปกครองที่สนใจข้อมูลข่าวสารเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข ยังสามารถศึกษาเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข ได้จากผลงานการเขียนของ ศาสตราจารย์แพทย์หญิง นงพงา ลิ้มสุวรรณ ได้

************************************************



เอกสารอ้างอิง "ไอคิวและอิคิว"

นงพงา ลิ้มสุวรรณ (2542). ไอคิวและอีคิว. เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข พิมพ์ครั้งที่ 9, กรุงเทพ: พรินท์ติ้งเพรส.


วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มารู้จักภาษา C กันเถอะ

าษาซี ( C language)ซึ่งเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่นิยมนำมาใช้ในการเขียนโปรแกรมและเป็น พื้นฐานในการศึกษาเพื่อต่อยอดไปสู่การเขียนโปรแกรมภาษาอื่น ๆ มากที่สุด

ประวัติของภาษาซี

ภาษาซีเป็นภาษาระดับสูง( High-Level-Language) เป็นภาษาที่มีความเร็วในการทำงานสูงใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง มีโครงสร้างที่ชัดเจน เข้าใจง่าย สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างดี ภาษาซีเกิดขึ้นในปี ค . ศ .1972 ผู้คิดค้นคือนายเดนนีส ริทชี (Dennis Ritchi)


ลักษณะของภาษาซี


  • โปรแกรมภาษาซีเป็นโปรแกรมที่มีความยืดหยุ่นและมีขีดความสามารถสูง
  • โปรแกรมมีขนาดเล็ก ทำงานได้เร็ว
  • ลักษณะภาษาอยู่ในรูปของฟังก์ชัน
  • สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์ได้หลายระบบ
ด้วยเหตุผลจากลักษณะข้างต้นนี้เอง จึงทำให้ภาษาซี เป็นที่รู้จักแพร่หลายและถูกนำไปใช้ศึกษาและเขียนโปรแกรมได้อย่างกว้างขวาง

วิธีป้องกันไวรัสโดยการเขียนไฟล์ Autorun.inf ลงใน handy drive


วิธีป้องกันไวรัสโดยการเขียนไฟล์ autorun.inf ลงใน Handy Drive
มีไวรัส อยู่ หลายชนิด ที่อาศัย ไฟล์ Autorun.inf ในการกระจายตัวไปติดยังคอม พิวเตอร์ เครื่องอื่นๆ ในเมื่อ ไวรัส อาศัยไฟล์ ดังกล่าว
แล้วจะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้ไวรัส ใช้ไฟล์ดังกล่าวได้สะดวกครับ อ่านต่อเลยครับ
เราก็ต้องเริ่มจากการสร้างไฟล์ autorun.inf ครับ สร้างไว้ใน Handy Drive ครับ
เพื่อป้องกัน virus ที่อยู่ใน Handy Drive ทำงานแบบ autorun ทำตามรูปเลยละกันนะครับ ง่ายมากๆครับ
ต่อมาก็เปลี่ยนแอดทิบิวไฟล์ autorun.inf
ผมได้ทดสอบแล้วว่า วิธีการนี้ สามารถ ป้องกันไวรัส ที่จะอาศัยไฟล์ autorun.inf ในการแผ่กระจายตัวออกไป ได้ดีทีเร็ว
ถึงแม้ จะไม่ได้ป้องกัน ไม่ให้ไวรัสเขียนไฟล์ไวรัส ลงใน Handy Drive ได้ ก็ตาม
แต่ ก็ สามารถป้องกัน การเขียนไฟล์ Autorun.inf ได้อย่างได้ผล ครับ
ข้อมูลจาก - คุณ ประทุมคอยฝน@Crazy Dogter แห่ง com-th.net

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

[Android คืออะไร?] รู้จัก Android (แอนดรอยด์)และวิธีการเลือกซื้อมือถือ Android Phone



หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบ เทคโนโลยี รวมถึง เป็นคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่า แอนดรอยด์ (Android) เป็นอย่างดี ซึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบันนั้น แอนดรอยด์ ถือเป็นอีกหนึ่งระบบปฏิบัติการในตลาด ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่แพ้กับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ซึ่งในวันนี้ ทีมงานได้รวบรวมเอาข้อมูล ที่อาจจะช่วยให้ หลายๆท่านที่กำลังสนใจนั้น ได้รู้จักกับ ระบบปฏิบัติการตัวนี้กันมากขึ้น ว่า แอนดรอยด์​คืออะไร และ ทำอะไรได้บ้าง ลองมาชมกันเลยครับ
แอนดรอยด์ (Android) คืออะไร?


วิธีที่จะเข้าใจว่า Android(แอนดรอยด์) คือ อะไร? อย่างง่ายๆ ให้เราลองนึกถึง คอมพิวเตอร์ที่บ้านครับ ตอนนี้ใช้ Windows อะไรอยู่ครับ บางคนก็จะตอบว่า Windows 7, Windows Vista บางคนก็ตอบว่า Windows XP หรือบางคนอาจจะตอบว่า ผมไม่ใช้ Windows ผมใช้ Linux ซึ่งจะเป็น Linux รุ่นไหนก็ว่ากันไป … Windows หรือ Linux เราเรียกมันว่า ระบบปฏิบัติการ(OS) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าคอมพิวเตอร์ไม่ลง Windows ก็จะเปิดเครื่องเพื่อทำงานไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น โทรศัพท์มือถือ SmartPhone ก็เช่นเดียวกันครับ มันต้องการ OS ซึ่งใน iPhone นั้นบริษัทแอปเปิ้ลใช้ OS ที่ชื่อว่า iPhone OS ครับ ในขณะที่บริษัทกูเกิ้ล(Google) บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที อีกรายก็ได้ซุ่มพัฒนา OS ที่มีชื่อว่า Android(แอนดรอยด์) OS ขึ้นมา ซึ่ง Android(แอนดรอยด์) เวอร์ชั่น 1.0 ได้ถูกปล่อยออกมาใช้งานอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ 2008
คู่แข่ง iPhone?
วงการมือถือในปัจจุบันมีโทรศัพท์กลุ่มที่เรียกว่า SmartPhone ซึ่งคือมือถือที่ทำอะไรได้มากกว่า โทรเข้า-ออก โดย สามารถเข้าถึงบริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ตผ่าน App(แอพลิเคชั่น หรือโปรแกรม)บน Smartphone ทำให้โทรศัพท์มือถือในกลุ่ม SmartPhone เป็นอะไรที่ดึงดูดผู้ใช้งานมือถือที่ต้องการอะไรที่ใหม่ๆ เข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร และเกิด LifeStyle ใหม่ๆ ซึ่งในปัจจุบัน เจ้าตลาด SmartPhone คือ iPhone ของบริษัทแอปเปิ้ล ที่โด่งดังมาตลอดในช่าม 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยยังไม่มีใครมาทาบรัศมีได้.. แต่แล้วในปีนี้เราเริ่มจะเห็นมือถือหลายรุ่นที่มีหน้าตาการทำงานคล้ายกัน และมีความสามารถที่ทัดเทียมกับ iPhone และในบางกระแสบอกว่า ความสามารถของเจ้ามือถือนี้ ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า iPhone เสียอีก… ผู้คนเรียกขานเจ้ามือถือหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่มีหน้าตาการทำงานที่เหมือนกันนี้ว่า “Android(แอนดรอยด์) Phone”
ต้นกำเนิด แอนดรอยด์ (Android)


ย้อนไปเมื่อประมาณ เดือน ตุลาคม ปี 2003 Andy Rubin ได้ก่อตั้งบริษัท แอนดรอยด์ (Android, Inc.) พร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่ถือว่ามีความสามารถแตกต่างกันออกไปในแต่ละด้าน ร่วมกันพัฒนามาเรื่อยจนเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2550 โทรศัพท์มือถือรุ่นแรก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ ก็ได้ออกวางจำหน่าย ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ คือ HTC Dream
Android 4.0 หรือ Android 4.1? ตัวเลขข้างหลังคืออะไร? เพื่ออะไร?


Android(แอนดรอยด์) 4.0 เป็นหมายเลขเวอร์ชั่นของ ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ ครับ เหมือนที่ Windows มีทั้ง Windows95, Windows 2000, Windows XP, Windows Vista ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเวอร์ชั่นที่พัฒนาต่อๆกันมาของ Windows ครับ ใน Android OS เองก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ตอนนี้ Android OS มีทั้งหมด 10 เวอร์ชั่นแล้วครับและมีชื่อเล่นสำหรับเรียกง่ายๆด้วยครับ

ซึ่ง ก็ได้แก่ Apple Pie(Android 1.0),Banana Bread(Android 1.1),CupCake(Android 1.5), Donut(Android 1.6), Éclair(Android 2.1), Froyo(Android 2.2), Gingerbread(Android 2.3), Honeycomb(Android 3.0), Ice Cream Sandwich(Android 4.0), Jelly Bean (Android 4.1) จะสังเกตุเห็นได้ว่า ชื่อรุ่นทุกรุ่นเป็นของหวานทั้งหมดเลยครับ และในรุ่น Android ที่จะพัฒนาในอนาคตซึ่งยังไม่มีการกำหนดเลขเวอร์ชั่นก็จะมีชื่อว่า Key lime pie อีกด้วย.. แค่อ่านชื่อก็อิ่มแล้ว..
วิธีการเลือกซื้อมือถือ Android Phone
1. เลือกเวอร์ชั่นของ Android OS
เนื่องจาก Android(แอนดรอยด์) Phone  เป็นมือถือที่มีส่วนประกอบของ ระบบปฏิบัติการเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นการเลือกซื้อ Android Phone จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึง เวอร์ชั่นของ Android(แอนดรอยด์) OS ที่เราต้องการด้วยครับ ซึ่งเมื่อไปที่ร้านมือถือตั้งใจจะซื้อ Android Phone สักเครื่อง แต่แล้วเราก็จะมึนงง เพราะว่ามือถือ Android Phone แต่ละยี่ห้อใช้ Android คนละเวอร์ชั่น! แล้วเราจะเลือกยังไงกันดี แล้ว เราต้องใช้รุ่นไหนยังไง.. Android Phone รุ่นไหนคุ้มไม่คุ้มยังไง… ความมืดแปดด้านของการเลือก Android Phone ก็เริ่มครอบงำเรา… งั้นเรามาดูรายละเอียดว่า Android(แอนดรอยด์) OS แต่ละรุ่นมีความสามารถอะไรกันบ้างดีกว่าครับ เราจะได้รู้ว่า โทรศัพท์ Android Phone รุ่นที่เราเล็งอยู่นั้น มันทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้บ้าง
android 1.5
Android(แอนดรอยด์) 1.5 (Cupcake)
Android Phone ที่ ใช้ Android(แอนดรอยด์) 1.5 จะมีความสามารถหลักๆดังนี้ ควบคุมด้วย Touch Screen

  • ใช้นิ้วแตะเพื่อควบคุมการทำงานมือถือ
ใช้บริการ Google Service
  • Web Search
  • Gmail
  • Calendar
  • Google Map
Social Network ใช้บริการ Social Network ผ่าน App ที่น่าสนใจหลายเว็บ
  • Facebook for Android
  • Twitter for Android
การติดตั้ง โปรแกรมลงใน Android Phone
  • ลงโปรแกรมผ่าน Android Phone ผ่านส่วนเชื่อมต่อที่เรียกกว่า Android Market Place
กล้อง
  • ถ่ายรูป และ ถ่ายวีดีโอ ได้
  • Upload วีดีโอขึ้น Youtube.com และ รูปถ่ายไปยัง Picasa ได้จาก Android(แอนดรอยด์) Phone โดยตรง
ระบบเดาคำศัพท์ Text-Prediction
  • ช่วยในการพิมพ์ โดย Android Phone จะช่วยเดาว่าเรากำลังพิมพ์คำว่าอะไร เพื่อลดเวลาในการพิมพ์ข้อความ
Bluetooth
  • รองรับ Bluetooth A2DP / AVRCP
  • เชื่อมต่ออุปกรณ์ Bluetooth Handfree อัตโนมัติ(เชื่อมต่อครั้งแรกต้อง Paire Device เหมือนมือถืออื่นๆ)
Home Screen
  • สามารถวาง Widget (หน้าต่างเล็กๆเพื่อโชว์การทำงานของ App เช่น โชว์ภาพถ่าย โชว์หน้าต่างเล่นเพลง แบบ Winamp
รายการโทรศัพท์มือถือ Android Phone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 1.5
android_phone_1_5

android_1_6_toppic
Android(แอนดรอยด์) 1.6 (Donut)
Android Phone ที่ลงระบบ Android 1.6 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 1.5 ดังนี้
Web History / contact list Search

  • เพิ่มการค้นหาในสถิติการใช้งานเว็บไซต์ และรายชื่อ contacts ใน Android Phone
Android(แอนดรอยด์) Phone พูดได้ Text-to-Speech
  • Android Phone สามารถพูดตามข้อความได้(text-to-speech) เช่นการอ่านข้อความ sms โดยเราไม่จำเป็นต้องอ่านเอง
Voice Control
  • โทรออกด้วยเสียง
  • Google Search ด้วยเสียง
รายการโทรศัพท์มือถือ Android(แอนดรอยด์) Phone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 1.6
android_phone_1_6

android_2_1_toppic
Android(แอนดรอยด์) 2.0/2.1 (Eclair)   Android Phone ที่ลงระบบ Android 2.0/2.1 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 1.6 ดังนี้
Performance
  • ปรับปรุงความเร็วในการทำงานของ Android ให้เร็วยิ่งขึ้น
  • ปรับปรุง User Interface
  • ปรับปรุง รายการติดต่อ(Contact Lists)
  • ปรับปรุงการแสดงผล ขาว-ดำ
  • ใช้งาน Multi-Touch Screen ได้
  • ปรับปรุง คีย์บอร์ดเสมือน(คีย์บอร์ดบนหน้าจอ)
Internet Browser
  • ปรับปรุง Internet Browser และพัฒนารองรับเทคโนโลยี HTML5
Google Service
  • ใช้ Google Maps 3.1.2
  • รองรับ Microsoft Exchange
Camera
  • รองรับการใช้ Flash สำหรับการถ่ายรูป
  • กล้องถ่ายรูป ซูมระดับดิจิตอลได้
Home Screen
  • Live Wallpapers (วอลล์เปเปอร์ แบบเคลื่อนไหวและตอบสนองการกดหน้าจอได้ เช่น หน้าจอแบบพื้นน้ำ)
Bluetooth
  • รองรับ Bluetooth 2.1
รายการโทรศัพท์มือถือ Android Phone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.0/2.1
android_phone_2_0
android_2_2_toppic
Android(แอนดรอยด์) 2.2 (Froyo)
Android Phone ที่ลงระบบ Android 2.2 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 2.1 ดังนี้
Performance
  • การทำงานของ Android Phone เร็วขึ้น 5 เท่า
  • รองรับการลงโปรแกรมลงใน Memory Card
  • เปลี่ยนภาษาบน keyboard Android Phone ได้ง่ายๆ
Internet Tethering
  • ใช้ Android Phone เป็นโมเด็มสำหรับต่ออินเตอร์เน็ตให้คอมพิวเตอร์ได้(Tethering)
  • แปลงร่าง Android Phone เป็น Wifi Hotspot
Internet Browser
  • รองรับการใช้ Adobe Flash 10.1 (ทำงานเร็วขึ้น)
  • Brower ใหม่ใช้ความสามารถของ Chrome และ JavaScript Engine
  • Browser ใช้งาน file upload ได้
Google Service
  • ปรับปรุงความสามารถ Microsoft Exchange สามารถ sync ปฏิทินได้
Bluetooth
  • โทรออกด้วยเสียงผ่าน Bluetooth
รายการโทรศัพท์มือถือ Android Phone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.2
android_phone_2_2

android_2_3_toppic
     Android(แอนดรอยด์) 2.3/2.4 (Gingerbread)
Android Phone ที่ลงระบบ Android 2.3/2.4 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 2.2 ดังนี้
การแสดงผล
  • รองรับหน้าจอขนาดความละเอียด WXGA (1280×768) หรือสูงกว่า
Performance
  • ปรับปรุงการทำงานให้เร็วขึ้น
  • ปรับปรุงระบบฟังก์ชั่นการทำงานของการ Copy-Paste
  • ทำการปรับปรุงระบบ Multi-Touch ของซอฟต์แวร์ keyboard
  • ปรับปรุงระบบการจัดการพลังงานแบตเตอร์รี่ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น
Internet Tethering
  • รองรับการสื่อสารแบบ SIP และ VoIP
Internet Browser
  • มีการเพิ่มโปรแกรม Download Manager เพื่อรองรับการดาวน์โหลดที่ต้องใช้ระยะเวลานาน
Multimedia
  • รองรับไฟล์วีดีโอประเภท WebM/VP8
  • รองรับไฟล์เสียงประเภท ACC
ด้านอื่นๆ
  • สนับสนุน Near field communication(NFC) ทำให้มือถือสามารถอ่าน RFID ได้
  • สนับสนุนระบบเซ็นเซอร์พื้นฐานต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น gyroscopes และ barometers เป็นต้น
  • สนับสนุนการทำงานร่วมกับกล้องหลายๆ ตัว
 รายการโทรศัพท์มือถือ Android Phone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.3/2.4
android_phone_2_3

android_3_0_toppic
Android(แอนดรอยด์) 3.0 / 3.1 (Honeycomb)
Android Phone ที่ลงระบบ Android 3.0 / 3.1 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 2.3 ดังนี้
การแสดงผล
  • รองรับการแสดงผลแบบ 3D สามมิติ
  • อินเทอร์เฟซแบบใหม่เรียกว่า "Holographic" โดยเพิ่มฟีเจอร์ด้าน 3D
Performance
  • ปรับปรุงการทำงานให้เร็วขึ้น
  • ปรับปรุงระบบ Multi-Tasking
  • การสั่งงานผ่านเมนูที่ถูกซ่อนไว้จะถูกเปลี่ยนเป็น button bar ให้เห็นปุ่มชัดๆ
Internet Browser
  • ปรุงเบราว์เซอร์ให้รองรับ Tablet
  • สามารถ sync กับ Chrome Bookmarks ได้
Google Service
  • สามารถใช้งาน Google eBooks
  • รองรับการใช้งาน Google Talk ที่สนทนาผ่านวิดีโอได้
ด้านอื่นๆ
  • สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์ที่ไม่มีปุ่มจริงเช่น Tablet เพราะออกแบบมาให้รองรับ Virtual Buttons
รายการแท็ปเล็ต Android ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 3.0/3.1
หมายเหตุ : เนื่องจาก ระบบปฏิบัติการ Android 3.0 / 3.1 / 3.2 นั้นถูกพัฒนามาสำหรับ แท็ปเล็ต เป็นหลัก ภายในตารางจึงเป็นชื่อรุ่นของ Tablet ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Andriod 3.0 / 3.1 / 3.2
android_phone_2_3

Android(แอนดรอยด์) 4.0 (Ice Cream Sandwich)
Android Phone ที่ลงระบบ Android 4.0 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 3.0 ดังนี้
การแสดงผล
  • ปรับปรุงอินเตอร์เฟสใหม่
Performance
  • ปรับปรุงการทำงานโดยรวมของระบบให้เร็วขึ้น
Internet Browser
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้งาน ให้สามารถใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ด้านอื่นๆ
  • Face Unlock สามารถปลดล็อคเครื่องด้วยใบหน้า
  • Android Beam ด้วยความสามารถของ เทคโนโลยี NFC ทำให้การแชร์ภาพ หรือ คอนเทนต์ต่างๆ ง่ายขึ้น เพียงนำเครื่องมาแตะกัน ก็สามารถส่งข้อมูลให้กันได้แล้ว
  • ROBOTO ฟอนต์ใหม่ ของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
 รายการโทรศัพท์มือถือ Android Phone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4.0
android_phone_2_3


Android(แอนดรอยด์) 4.1 (Jelly Bean)
Android Phone ที่ลงระบบ Android 4.1 จะมีความสามารถที่พัฒนาจาก Android 4.0 ดังนี้
Performance
  • ปรับปรุงการทำงานโดยรวมของระบบให้เร็วขึ้น
Internet Browser
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้งาน ให้สามารถใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของการประมวลผล Java Script
ด้านอื่นๆ
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของ Face Unlock
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของ Android Beam
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของ ระบบ Messenger
 รายการโทรศัพท์มือถือ Android Phone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4.1
android_phone_2_3

แอนดรอยด์ เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด Android Key Lime Pie ??


นอกจากแอนดรอยด์รุ่นต่างๆ ที่เราได้ทำการรวบรวมเอาไว้ข้างต้น จนถึงเวอร์ชั่น Android 4.1 นั้น ล่าสุด แหล่งข่าวจากต่างประเทศก็ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า แอนดรอยด์ รุ่นต่อไป จะใช้ Codename หรือชื่อเล่นว่า Android Key Lime Pie และคาดว่าจะมีการปรับปรุงในเรื่องของประสิทธิภาพโดยรวมของระบบให้ดียิ่งขึ้น อีกด้วย แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการออกมานะครับว่า Android Key Lime Pie (หรืออาจจะไม่ใช่ชื่อนี้) นั้น จะเป็นเวอร์ชั่นอะไร อาจจะเป็นไปได้ทั้ง 4.3 หรือ อาจจะเป็นเวอร์ชั่น 5.0 ไปเลย ซึ่ง หากมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ Android ตัวล่าสุดนี้เพิ่มเติม ทีมงานจะนำข้อมูลมาให้ได้ทราบกันอีกอย่างแน่นอนครับ
2. พิจารณาคุณสมบัติด้านอุปกรณ์ในตัวเครื่อง  
นอกจากจะต้องพิจารณา Android(แอนดรอยด์) OS แล้วเรายังต้องพิจารณาคุณสมบัติของอุปกรณ์ในเครื่องด้วยนะครับ ซึ่งประกอบไปด้วย
  • หน้าจอ ใช้วัสดุอะไรในการประกอบ ซึ่งมีตั้งแต่ LCD LED AMOLED หรือ Super AMOLED ตัวใหม่แบบอินเทรนด์
  • หน้าจอ รองรับการใช้ Touch screen และ multi touch screen หรือไม่
  • CPU ที่ใช้เป็นยี่ห้ออะไร มีความเร็วเท่าไหร่ โดย มีหน่วยวัดเป็น Hz นะครับ คล้ายการวัดใน cpu เครื่องคอมพิวเตอร์ และแน่นอนว่า ยิ่งมีความเร็วมาก ก็ยิ่งดีครับ(ก็จะมีราคาสูงตามนะครับ)
  • หน่วยความจำภายใน เนื่องจาก Android Phone ต้องการหน่วยความจำภายในตัวหลักในการลง Android OS และ App สำหรับการใช้งาน(สำหรับ Android 2.2 จะสามารถลง App ใน sd-card ได้ ปัญหาเรื่องนี้จึงไม่มี แต่ถ้าเป็น Android(แอนดรอยด์)รุ่นต่ำกว่านี้ ต้องคิดเรื่อง ความจุของหน่วยความจำให้ดีครับ)
  • คุณภาพของเสียง ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายก็จะมี มาตรฐานการพัฒนาคุณภาพเสียงที่แตกต่างกันออกไป เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญครับ
  • อุปกรณ์รับสัญญาณ GPS เป็นชิ ปประมวลผลเล็กๆที่อยู่ใน Android Phone ซึ่งเจ้าตัวนี้มีผลต่อการใช้งาน Application หลายตัวเลยนะครับ Android Phone บางรุ่นมีอุปกรณ์รับสัญญาณ GPS บางตัวก็ไม่มีครับ
  • อุปกรณ์รับสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ เข็มทิศดิจิตอล แบบที่เห็นใน iPhone นั่นเองครับ
  • คุณภาพของกล้องที่ Android Phone แต่ละรุ่นก็จะมีความสามารถในการถ่ายรูปที่ไม่เท่ากันครับ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเลนส์และหน่วยประมวลภาพ
อย่าลืมนะครับ Android Phone ประกอบด้วยส่วนของ Android(แอนดรอยด์) OS และ คุณสมบัติด้านฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่อง ก่อนซื้ออย่าลืมตรวจสอบว่า Android Phone ที่ซื้อนั้นเป็นไปตามความต้องการของเราจริงๆ นะครับ